สังขละบุรี ดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ (Sangklaburi) กาญจนบุรี
รีวิว ดินเเดนวัฒนธรรมกันบ้าง โดยในการเดินทางของพวกเราครั้งนี้เราได้ไปที่ สังขละบุรี การเดินทางครั้งนี้เราไปด้วยรถส่วนตัว โดยเดินทางออกจาก กรุงเทพถึงสังขละบุรี ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
ผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวโตเกียวช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 น่าจะเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศ
ก่อนที่จะกลับมากักตัวกันยาวๆอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหนกันอีกเลย
วันนี้เลยอยากจะมาแบ่งปันข้อมูลรูปภาพที่ได้ถ่ายไว้ให้ได้ดูกัน
การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากความหลงไหลเสพติดประเทศญี่ปุ่นของผมและเพื่อนที่มันติดมาตั้งแต่เด็กๆ การที่ได้ดูการ์ตูน อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น
มันทำให้ผมเริ่มซึมซับมันไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกผมแต่มันก็ตื่นเต้นเหมือนเดิม
เก็บกระเป๋าเดินทางออกจากประเทศไทยมุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายคือโตเกียว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง เวลาที่ประเทศญี่ปุ่นจะเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
หลังจากเดินทางไปถึงสนามบินแค่ได้ยินเสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นผมก็รู้สึกตื่นเต้นสุดๆแล้วครับ เหมือนว่าในที่สุดก็มาถึงสักที
หลังจากตรวจเอกสารผ่าน ตม. มาเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปขึ้นรถไฟเพื่อจะเข้าไปยังตัวเมืองผมเลือกเดินทางไปยังอุเอโนะก่อน
หลังจากนั้นผมเลยต่อรถไฟใต้ดินไปยังโรงแรมที่อาซากุสะ เพื่อที่จะได้ฝากกระเป๋าสัมภาระไว้กับโรงแรมเพราะมาถึงช่วงเช้า
ยังไม่สามารถ Check-in ได้ในเวลานั้น เลยกะว่าจะฝากของแล้วไปเดินเล่นหาข้าวกินก่อน
Henn na Hotel Tokyo Asakusa Tawaramachi hotel
ทางโรงแรมมีเอกลักษณ์คือการที่พนักงานต้อนรับจะเป็นหุ่นยนต์คอยต้อนรับเราในการเช็คอินหรือขอความช่วยเหลือต่างๆภายในโรงแรมแต่หากว่ามันเกินความสามารถของหุ่นยนต์เราสามารถติดต่อพนักงานที่เป็นบุคคลได้เขาจะคอยช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่เลย ตอนผมไปติดต่อกับหุ่นยนต์ก็ถือว่าสะดวกมากแล้วครับ
หลังจากได้ฝากของไปกับทางโรงแรมแล้วผมได้เดินทางออกมาหาของกิน โดยเดินผ่านไปพบกับร้านข้าวหน้าเนื้อชื่อดัง Gyu-katsu สาขาอาซากุสะเป็นร้านข้าวหน้าเนื้อทอดโดยจุดเด่นจะอยู่ที่เนื้อชุปแป้งที่ทอดมากรอบมากแต่ด้านในยังไม่สุกดีนัก ให้เรานำมาย่างให้ได้ความสุกตามที่เราต้องการ อร่อยจนลืมทางกลับบ้านกันเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วก็เลยตัดสินใจเดินเล่นแถวนั้นชื่นชมบรรยากาศบริเวณแถววัดอาซากุสะกันไปก่อน
หลังจากเดินเล่นไปสักพักก็ค่ำพอดี มีการแฮงค์เอ้ากันสักนิดก็เข้าโรงแรมไปนอนพักผ่อน
วันแรกก็จบไปแบบง่ายๆ
วันที่ 2 ของการเดินทางวันนี้พวกผมมีแพลนจะไปเที่ยว Teamlabs Borderless ตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะเดินทางไปยังโอไดบะ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที จากสถานีชินบาชิ เดินทางโดยรถไฟสายยูริคาโมเมะ ไปลงที่สถานีชินโทโยชุ
หลังจากลงจากรถไฟพวกผมก็มุ่งหน้าไปยัง Teamlabs Borderless เลย เดินไปถ่ายรูปไปเก็บบรรยากาศโดยรอบๆ
ข้างในงานบอกตามตรงว่าสวยมากๆอยากให้ทุกคนได้ลองไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง สวยแบบไม่ผิดหวังจริงๆครับ
ผมก็ได้นำภาพบางส่วนของงานแสดงมาให้เพื่อนๆได้รับชมกัน
สถานที่ : teamLab
ใช้เวลาอยู่ในนั้นค่อนข้างนานมากครับ มีอะไรหลายอย่างให้ได้ดู มีมุมถ่ายรูปชิคๆคูลๆให้เอาไปลงใร IG เพียบเลย
ออกมาจากที่นั่นก็ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วพวกผมเลยตัดสินใจใช้เวลาเดินชมเมืองโอไดบะกันอีกสักพัก แวะกินข้าวเย็น แล้วก็กลับไปนอนพักที่โรงแรมเลย
พวกเรามีแพลนจะไปหาของกินที่ตลาดปลา Tsukiji ถ้าคิดถึงอาหารญี่ปุ่นก็คงไม่พ้นตลาดแห่งนี้เขาบอกว่าเป็นครัวของโตเกียวกันเลย
เดินออกมาจากตลาดปลา วันนี้ตัดสินใจว่าจะไปหาซื้อรองเท้ากันสักหน่อยไหนๆก็มาถึงญี่ปุ่นแล้ว จุดมุ่งหมายอันสำคัญยิ่งนอกจากการกินแล้วคือการชอปปิ้งนั่นเอง
แต่ระหว่างเดินไปขึ้นรถไฟ ผมเหลือบไปเห็นร้านขายข้าวข้างทาง คนต่อแถวกันเยอะมาก แน่นอนครับ ผมไม่ยอมพลาดแน่ๆ ตัดสินใจแวะกินสักหน่อย
ราคาน่าคบหามากกกกกก
แน่นอนครับโดนไป 1 คู่ ราคาถูกมาก 3900 yen เท่านั้น
วันนี้มีแพลนว่าจะไปเดินเล่นตรงนากาเมกุโระ ถ้าเป็นช่วงที่ซากุระบานถนนเส้นนี้จะสวยมากๆ
แต่ช่วงที่เราไปเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก็เลยไม่มีดอกซากุระให้เราได้เห็น
แต่ยังมีคาเฟ่ร้านน่ารักๆ มุมเท่ๆ ให้ได้ถ่ายรูปอยู่ เลยตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นชิมลมชมวิวกันสักหน่อย
หลังจากเดินเล่นกันไปสักพักพวกเราดันมาเห็นกับต้นซากุระที่บานอยู่ 2-3 ต้น
ถ้ามันบานเต็มถนนน่าจะสวยน่าดู
จะเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะบินกลับประเทศไทย วันนี้พวกเรามีแพลนที่จะขับไปดูฟูจิซังกัน เราจองรถมาจากประเทศไทยแล้วเรียบร้อยครับ
การเช่ารถผู้ขับต้องมีใบขับขี่สากลด้วยนะครับ ทำมาจากประเทศไทยได้เลย ไปที่ขนส่งแจ้งว่าทำใบขุบขี่สากล (เราต้องมีใบขับขี่ที่ไทยอยู่แล้วนะครับ)
ทางขนส่งก็จะออกใบขับขี่สากลให้เราแค่นี้เรียบร้อยจ่ายตัง 505 บาท ส่วนการเช่ารถก็มีหลายราคาครับ มีค่าประกันรถ ค่าทางด่วน
ตอนเราได้รับรถ จะมีน้ำมันให้เราเต็มถังเลยครับ แต่ตอนที่เรานำรถมาคืนเราต้องเติมน้ำมันให้เขาด้วยเต็มถังเหมือนเดิมครับ
เราตัดสินใจเช่ารถคันเล็กน่ารักๆ เพราะว่าเราอยากขับมานานแล้ว ที่ประเทศไทยไม่มีรถรุ่นนี้
คันเล็กจิ๋วแต่ภายในก็ไม่ได้เล็กมากนะครับ นั่งสบายเลยแค่คนขับอ้วนไปหน่อย
บนรถมีฮีตเตอร์ด้วยนะครับ ถ้าเราหนาวก็เปิดได้เลย
จุดมุ่งหมายแรกที่เราจะไปแวะกันก่อนคือเจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda) เป็นอีกสถานที่เราจะเห็นภูเขาไฟฟูจิได้พร้อมกับวิวตัวเมืองแต่ทางเดินขึ้นแอบเหนื่อยเหมือนกันครับ
ล้างมือล้างปากตามธรรมเนียมของการเข้าวัดที่ญี่ปุ่นกันครับ
ทางเดินขึ้นจากที่จอดรถ
หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จแล้วพวกเราได้ไปขับรถเล่นที่บริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะ
ผมไปไปสะดุดกับจุดที่เหมือนจะเป็นคล้ายๆกับคอมมิวนิตี้ มีร้านอาหาร คาเฟ่ เลยว่าจะหากาแฟดื่มสักนิด
แต่พอเห็นเมนู รู้สึกอยากกินชาผลไม้ขึ้นมาทันที เลยเปลี่ยนไปสั่งชาผลไม้และดื่มด่ำไปกับวิวภูเขาไฟฟูจิ
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับไปยังโรงแรมเพื่อที่จะเตรียมตัวเก็บของเดินทางกลับประเทศไทยกัน
มีแวะกินข้าวกันบ้างแฮงค์เอ้าสั่งลากันสักนิดแต่ไม่ได้เก็บภาพมาด้วย เพราะว่าไม่ได้เอากล้องออกไปด้วยกลัวเมาแล้วทำกล้องหาย 555
สุดท้ายนี้ก็ทริปโตเกียวครั้งนี้ก็จบลง ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่ผมชื่นชอบอยู่เสมอ มีอีกหลายที่ๆผมอยากไป
ส่วนตัวเวลาผมไปแล้วผมจะใช้เวลาในการเดินชมบ้านเมือง การทำงาน ผู้คน สิ่งที่ผมประทับใจมากคือความเป็นระเบียบเรียบร้อย การบริการ ความสะอาด
ที่เราไม่อาจจะพบเห็นได้ที่บ้านเรา โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่บางอย่างมันดูล้ำมากๆ หรือบางอย่างที่เราไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจในรายละเอียดมันก็มีได้เห็น
บอกตามตรงว่าผมค่อนข้างจะคลั้งไคล้ในประเทศญี่ปุ่นมาก แน่นอนว่าถ้ามีโอกาส ประเทศเปิด ทุกอย่างกลับมาปกติผมจะต้องไปอีกครั้งแน่นอนครับ
สุดท้ายนี้แล้วหากเพื่อนๆมีโอกาสได้ไป หรือสงสัยในส่วนไหน อยากให้พวกเราแนะนำก็ถามกันมาได้เลยนะครับ
ยินดีที่จะตอบเท่าที่พวกผมจะทำได้ หรือมีสถานที่แนะนำร้านอาหาร คาเฟ่ แหล่งชอปปิ้ง ยังไงก็แนะนำพวกเรามาได้เลยนะครับ หากได้ไปอีกครั้งจะไปตามรอยแน่นอนครับ
ขอบคุณทุกคนมากที่อ่านหรือดูรูปมาจนถึงตรงนี้ กราบขอบพระคุณจากใจ ฝากติดตามพวกเราด้วยนะครับ มีทั้งทางเว็ปไซต์ chobtravel และทาง FB: อยากจะไปมากๆ
หลิว =]
อ่านบทความเพิ่มเติม : Blog บล็อกเกี่ยวกับการท่องเที่ยว รีวิวสถานที่ – Chob Travel