” โอซาก้า ครัวแห่งญี่ปุ่น “

ทำไมขึ้นชื่อว่าครัวของชาติญี่ปุ่น เพราะว่า โอซาก้า เป็นศูนย์แห่งการค้าข้าวของญี่ปุ่นและเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเมืองหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย

เหตุผลที่ตั้งเริ่มเรื่องด้วยคำว่า “หน้าชาที่ Osaka” เนื่องจากผมได้เดินทางไปในช่วงที่เป็นฤดูหนาวของญี่ปุ่นก็คือช่วง เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้ผมก็ได้เตรียมพร้อมชุดกันหนาวไปอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ตัวแข็งเหมือนเดิมฮ่าๆ เริ่มเลยดีกว่าผมได้มีโอกาสไปเที่ยว ญี่ปุ่น ภูมิภาคคันไซ ซึ่งเป้าหมายในการท่องเที่ยวครั้งนี้อยู่ที่ “โอซาก้า” ซึ่งการเที่ยวครั้งนี้เป็นการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของผม โดยงบประมาณที่เสียไปทั้งหมด ไม่เกิน 5 หมื่น รวมซื้อของฝากแล้วโดยค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ค่าเครื่องบิน ประมาณ 10,000 บาท รวมโหลดกระเป๋าค่าที่พัก 18,000 บาท ที่เหลือก็ใช้จ่ายค่าเช่ารถ ค่ากิน และ ค่าเที่ยวต่างๆ

การเดินทางส่วนมากจะใช้การเดินทางโดยรถไฟ บางที่ผมก็ใช้การเช่ารถ เที่ยว เดินบ้าง โดยใช้ Google Map นำทาง สะดวกพอสมควร

สถานที่ ที่ไปคร่าวๆ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ วัดน้ำใส โดทงโบริ ชินไซบาชิ ตลาดคุโระมง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้า(Osaka Aquarium) Biwako Valley Ski Resort แล้วก็ Universal Studios Japan ปราสาทโอซาก้า

สถานที่ : ท่าอากาศยานดอนเมือง เตรียมตัวเดินทาง

First Day

เริ่มต้นเดินทาง ผมได้เลือกไฟล์ทบินจากสนามบินดอนเมือง ซึ่งเดินทางสะดวกเพราะใกล้บ้านผมมากว่า การเดินทางใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง ถ้าไม่เกิดไฟล์ทดีเลย์ แนะนำให้ไปถึงก่อนไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง เผื่อเกิดอะไรผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทันเวลา

ไฟล์ทที่ผมบินนั้นบินตอนกลางวัน จะไปถึงที่ญี่ปุ่นมืดๆพอดี ซึ่งข้อดีจะได้พักผ่อนก่อนเที่ยวในวันถัดไปได้เต็มที่ แต่ข้อเสียจะเสียเปรียบในด้านที่พัก โดยผมบินตรงไปลงที่ สนามบินนานาชาติคันไซ และเดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟ “Kansai Airport – Namba” โดย

  • ค่าโดยสารต่อเที่ยว (ปกติ) อยู่ที่ 930 เยน และต่อรถไฟไปยังสถานีใกล้ๆที่พักและเดินเท้าต่อเข้าไป

รายละเอียดที่พักผมไม่ไ่ด้ถ่ายรูปมา เนื่องจากถึงมืดและเหนื่อยในการเดินทาง ทำให้ถึงที่พักแล้วสลบเลย ต้องขออภัยด้วย

การเดินทางวันแรกผมได้วางแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวเกียวโต ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ วัดน้ำใส ซึ่งผมเลือกการเดินทางด้วยรถยนต์เช่าของ “Toyata rent a car” ด้วยที่มีคนไปเยอะจึงได้เช่าเป็นรถตู้ ราคาโดยประมาณ 24,200 เยน และจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และ ค่าประกันความเสียหายต่างๆ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกเลย แต่ถ้านับค่าใช้จ่ายก็สูงพอสมควรสำหรับคนที่คุมงบการท่องเที่ยวไว้อย่างจำกัด

การขับรถในญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากไทยมาก ที่ญี่ปุ่นเค้าขับรถเป็นระเบียบ และ เคารพกฎจราจร มากๆ เรียกได้ว่าขับง่ายเลยก็ว่าได้ (อันนี้อาจจะส่วนตัวไปนิดฮ่าๆ) แต่ก็แอบห่วงนิดๆเพราะกลัวโดนจับความเร็วเหมือนกัน ฮ่าๆ

  • ตรวจสอบราคาและเช็ครายละเอียดได้ที่ : https://rent.toyota.co.jp/

” วัฒนธรรม ความเชื่อ และ ประวัติศาสตร์ “

ศาลเจ้าเสาโทริอิพันต้นแห่งเกียวโต (Fushimi Inari Shrine, Kyoto)

ศาลเจ้าเสาโทริอิพันต้นแห่งเกียวโต (Fushimi Inari Shrine, Kyoto)

สถานที่แรกที่ไปเที่ยวก็คือ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ หรือ ศาลเจ้าเสาโทริอิพันต้นแห่งเกียวโต (Fushimi Inari Shrine, Kyoto) ศาลเจ้าอินาริ คือศาลเจ้าที่ เทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหารของญี่ปุ่นสถิต ว่ากันว่ามีอำนาจ “Gokokuhoujou” (พืชพันธุ์งอกงาม) “Shoubaihanjou” (ค้าขายรุ่งเรือง) “Ansan“(คลอดบุตรปลอดภัย) “Manbyouheiyu“(โรคภัยหายป่วย) และ “Goukakukigan”(สอบผ่าน)

โดย อารามหลักของ “ศาลเจ้าอินาริ” นั้นก็คือ “ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ” ที่เกียวโต โดยจะมาเอกลักษณ์ คือ เสาโทริอิสีแดงส้ม นับหมื่นๆต้นเรียงติดกัน กลายเป็นอุโมงค์ยาวถึง 4 กิโล ซึ่งใครไปก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปแบบชิคๆเท่ๆ กลับไปทุกคน

  • การเดินทาง ผมใช้เวลาเดินทางจาก Namba โดยประมาณ 1 ชั่วโมง จะถึงที่นี่
สถาน : วัดน้ำใส หรือ วัดคิโยะมิซุ Kiyomizudera Temple ตั้งอยู่ที่ กรุงเกียวโต

วัดน้ำใส คิโยะมิสุเดระ เกียวโต (Kiyomizudera Temple)

สถานที่ต่อไปเดินทางเข้าไปอีกหน่อยจะเจอกับ วัดน้ำใส หรือ วัดคิโยะมิซุ ซึ่งในภาษาญี่ปุ่น Kiyomizudera Temple : 清水寺 ซึ่งแปลว่า “น้ำบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นอีกสถานที่ที่คนไทยชอบมาเที่ยวอีกที่หนึ่งเมื่อได้มาเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่งในเกียวโต และได้รับรองเป็นมรดกโลก จาก UNESCO world heritage sites

วิวที่มองจากศาลาต้นไม้ลงไปจะเห็นต้นเมเปิ้ลสีแดงในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และ จะเห็นซากุระบาน ในช่วงซากุระบาน

กิจกรรมที่คนนิยมไปทำเมื่อมาที่วัดน้ำใส

  • การเสี่ยงเซียมซี “Omikuji” คำทำนายจะเป็นใบกระดาษแบบสุ่มหยิบ หากได้คำทำนายที่ไม่ดีสามารถไม่รับได้และนำไปพันไว้ที่เสา ฝากไว้กับวัดได้
  • การเขียนขอพรลงบน “ป้าย Ema” ซึ่งส่วนมากจะเขียนขอเรื่อง การงาน สุขภาพ การเรียน และ ความรัก
ภาพบรรยากาศที่วัดน้ำใส

” สีสันแห่งคันไซในยามค่ำคืน “

ในการมาเที่ยวโอซาก้านั้นไม่ได้มีเพียงการมาเที่ยวชมวัดประวัติศาสตร์เท่านั้น
ยังมีจุดที่เป็นสีสันแห่งโอซาก้า แหล่งช้อปปิ้งท่องเที่ยวทั้งกลางวันและในยามค่ำคืน

หลังจากที่เดินทางกลับมาจากวัดคิโยะมิซุผมก็ได้ไปคืนรถที่เช่าแล้วได้เดินทางไปยังแลนด์มาร์คที่มั่นใจเลยว่าใครไปต้องมีรูปถ่าย ” ป้ายกูลิโก (Glico Man Neon Billboard) ” กลับไปแน่นอน

ป้ายกูลิโกะ (Glico Man Neon Billboard) ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแสงสีขอโอซาก้า

ป้ายกูลิโกะ (Glico Man Neon Billboard)

ว่าด้วยเรื่องของป้ายไฟ “กูลิโกะแมน” ที่สะพานโดทมบุริ เป็นป้ายที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปัจจุบันนั้นเป็นป้ายรุ่นที่ 6 แล้ว และป้ายแรกได้ถูกติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1935 มีอายุมานานถึง 85 ปีเลยทีเดียว หากนับจากการเขียนคอนเทนต์ ซึ่งผมเขียนในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งป้ายรุ่นที่ 6 นี้จะเป็นป้ายที่ใช้หลอดไฟ LED ให้แสงสว่าง ซึ่งในยามค่ำคืนก็จะสว่างสดใสเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายๆคนไปถ่ายรูปเรียกได้ว่าเป็นจุดมหาชนไปแล้ว

ป้ายกูลิโกะ (Glico Man Neon Billboard) ทำไมถึงเป็นรูปนักวิ่ง ?

เรื่องราวมีอยู่ว่า นายริอิชิ เอซะกิ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทกูลิโกะได้พบกับสารกลีโคเจนในหอยนางรมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงได้ทดลองให้ลูกชายที่กำลังป่วยกินดูซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองก็พบว่าลูกชายของเขานั้นอาการดีขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เขาจึงคิดว่าหากเด็กๆคนอื่นได้กินด้วย เขาจึงผลิตขนมที่ใส่สารกลีโคเจนเข้าไป แล้วตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ว่า “กลีโกะ” ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้ในชื่อ “Glico” ส่วนรูปนักวิ่งที่อยู่ในรูปหมายถึงการกินขนมแล้วจะสุขภาพดีแข็งแรงเหมือนนักวิ่งนั่นเอง

” เดินช้อปปิ้ง หาของกิน ย่านการค้าโดทงโบริ (Dotonbori) “

หลังจากที่ได้ไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก็ถึงเวลาของการเดินช้อปปิ้งและหาของกินที่ “ย่านการค้าโดทงโบริ (Dotonbori)” ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันโดยตัวเลือกของการเดินทางของผมก็คือเดิน ซึ่งจะได้พบกับร้านอาหาร และ ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังมากมายที่หลายๆคนนั้นใช้เวลานานมาถึงจะออกมาจากจุดนั้นได้ พอนึกได้อีกทีก็ของเต็มมือไปหมด

“เที่ยวเดินช็อปเพลินจนลืมหิว”

เมื่อเราได้ช็อปจนพอใจแล้ว ก็ต้องหาอะไรลงท้องกันหน่อยเดี๋ยวจะเป็นลมเอา ซึ่งที่นี้ก็มีร้านอาหารมากมายหลากหลายรูปแบบให้เลือกรับประทาน ส่วนตัวผมวันนี้ได้ไปฝากท้องที่ร้าน “Isomaru Suisan” ไปนั่งจิบเบียร์ กินซีฟู้ดปิ้งย่างที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเลย ซึ่งเมนูก็มีทั้งซาชิมิ ปิ้งย่างข้าวผัด ข้าวหน้าต่างๆ บอกได้เลยว่าบรรยากาศในร้านดีมาก และอาหารก็ถูกปากไปหมด ได้ความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆแน่นอน เพราะเราอยู่กันที่ญี่ปุ่น ฮ่าๆ ซึ่งหลังจากที่รับประทานอาหารอิ่มแล้วก็ขอตัวกลับห้องพักผ่อนเที่ยวในวันต่อไป โดยที่พักของผมนั้นห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก สามารถเดินกลับได้เลย วันแรกที่ Osaka ก็ดูเหมือนจะเที่ยวครบทุกรสชาติแล้วใช่มั้ย แต่ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป มาดูกันว่าวันต่อไปจะไปไหนต่อ

สถานที่ร้านอาหาร : Isomaru Suisan

” เช้าวันที่ 2 ของการเที่ยว Osaka “

การเดินทางของเราในวันนี้เราจะเดินทางไปยัง “ตลาดคุโรมง โอซาก้า Kuromon Market” โดยในการเดินทางครั้งนี้จากที่พักพวกเราเลือกใช้การเดินทางด้วยรถไฟ “Osaka Metro” ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวเมื่อมาญี่ปุ่นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะขึ้นรถไฟเที่ยว เพราะมีทั้งความสะดวกและกำหนดเวลาในการเดินทางได้ง่าย

ตลาดคุโรมง ครัวแห่งโอซาก้า Kuromon Market

เอาใจคนชอบอาหารซีฟู้ด อาหารทะเลสดๆจัดเต็มจากทะเล โดยเมื่อเข้ามาในตลาดจะพบกับ ผัก ผลไม้ นานาชนิคมากมายเรียงกันไปตลอดทาง ที่บอกได้เลยว่าสายกินอาจจะมีอาการตัวแตกได้ ไม่ว่าจะเป็นปลาหมึก ซูชิ อูนิ เนื้อวัว ทั้งของคาวของหวาน มากจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ซึ่งการเที่ยวในวันที่ 2 ของผมนั้น ก็จะเป็นการหาของกินทั้งวันเลยครับในวันนี้

ซึ่งในการมา Kuromon Market เช้านี้ของผมคงไม่ต้องบรรยายความรู้สึกอะไรมากมาย มีเพียงแค่คำว่า อิ่มมาก กับการได้รับประทานอาหารที่วัตถุดิบสดใหม่แบบนี้คงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกซะจากไปกินสดๆในทะเล

หลังจากที่เราเดินชิมอาหารกันจนเต็มอิ่มแล้วก็ถึงเวลาหาของช็อปปิ้งกันบ้าง โดยพวกเราได้เดินทางไปยัง ย่านการค้าโดทงโบริ (Dotonbori) อีกเช่นเดิม ซึ่งตอนแรกในวันนี้แพลนที่วางไว้จะค่อนข้างหลวมเพราะว่าในวันแรกที่เที่ยวนั้นถือว่าเที่ยวกันอย่างเต็มอิ่มกันแล้ว ในย่านนี้จะมีช็อปแบรนด์สินค้า แฟชั่นมากมาย ให้เลือกซื้อตามความชอบ โดยสิ่งที่ผมเล็งไปอย่างแรกก็คือ ร้านรองเท้า ซึ่งร้านที่ผมมักจะไปก็จะเป็น Atmos และ ABC Mart ซึ่งจะเป็นร้านที่ราคาค่อนข้างจะถูกกว่าร้านอื่นๆ

และนอกจากร้านรองเท้าในวันนี้ผมก็ได้แวะไป Shop Freitag อีกด้วย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนั้นเลย แต่ใช้เวลาเดินสักหน่อย

บอกได้เลยว่าหากหลวมตัวเข้ามาในย่านนี้แล้วถอนตัวออกยากมาก กว่าจะรู้ตัวก็มืดซะแล้ว ในวันนี้ผมได้สุ่มหาร้านอาหารใกล้ที่พัก ซึ่งร้านที่เข้าไปนั้นได้รู้สึกว่าผมถึงญี่ปุ่นแล้วจริงๆ เพราะเข้าไปแล้วพนักงานพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย พวกผมจึงสื่อสารกันด้วยกระแสจิต และ ภาษามือ 5555 จนได้อาหารมารับประทานกันจนได้

เป็นเมนูที่ผมยังไม่รู้ชื่อเลยว่าชื่ออะไรแต่รสชาตินี่ยังติดใจผมมาจนถึงทุกวันนี้เลย ถ้ามีโอกาสจะกลับไปกินอีกครั้ง

หลังจากที่เราได้รับประทานอาหารกันเต็มอิ่มก็ถึงเวลา กลับห้องนอน

” เช้าวันที่ 3 ของการเที่ยว Osaka “

การเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถสาธารณะ

เมื่อพูดถึงการเดินทางในญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ผมนึกขึ้นได้เลยก็คือ การเดินทางด้วย รถไฟ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ส่วนตัวผมคิดว่าสะดวกมากๆ และ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็เรียกว่าถูกกว่าแบบอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วย TAXI ซึ่งมีราคาสูงกว่า และ การเดินทางโดยการเช่ารถส่วนตัว ก็อาจจะไม่สะดวก เท่าไหร่ ในความคิดของผม

ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)

ในวันนี้เราจะเดินทางกันไปเที่ยวที่ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ด้วยการนั่งรถไฟไป แวะไปชมประวัติศาสตร์ ของอาซาก้า กันซักหน่อย ปราสาทโอซาก้า ถูกสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 ซึ่งใช่เวลา สร้างให้เสร็จสมบูรณ์ใช้เวลายาวนานถึง 16 ปีเลยทีเดียว ซึ่งกลายเป็นปราสาทขนาดใหญ่และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นอีกที่หนึ่งเลย

ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)

บรรยากาศระหว่างทางที่เดินทางไปยังปราศาจโอซาก้า
ทาโกะยากิ

ระหว่างที่เราเดินทางปราสาท ก็ได้แวะกินอาหารเพิ่มพลังกันซะหน่อย แอบไปเห็นทาโกะยากิ น่ากินก็เลยลองชิมบอกได้เลยว่า สุโก่ย อร่อยมาครับ

หลังจากนั้นก็กินของหวานตบท้ายซะหน่อย บอกเลยว่าฟินสุดๆครับ

เดินไปเดินทางเอ๊ะสังเกตุเห็นฝาท่อ แปลกตาเลยลองหาข้อมูลดู เพราะปกติแล้วฝาท่อทั่วไปจะไม่มีลายอะไรให้น่าสนใจ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นไม่เหมือนใคร ใครเห็นต้องสะดุดตา เรียกได้ว่าเป็นจิตรกรรม ศิลปะบนฝาท่อ ไอเดียดีสุดๆ แต่ฝาท่อที่มีลวดลายและสีสันนั้นมีเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นของทั้งหมดเท่านั้น เราเห็นก็เก็บภาพมาฝากให้ชมกันครับผม

หลังจากที่เราชมปราสาทกันอย่างเต็มอิ่ม ก็ได้เดินทางไปยังจุดต่อไป Osaka Aquarium KAIYUKAN เช่นเดิม เราเดินทางไปด้วยรถไฟ นั่นเอง

Osaka Aquarium KAIYUKAN

“ไคยูคัง” พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของโอซาก้า สำหรับใครที่พาลูกหลานไปด้วย พลาดไม่ได้กับการพาไปสัมผัสกับความลึกลับใต้ท้องทะเล ที่รวมสิ่งมีชีวิตไว้ตามถิ่นที่อยู่ทั้งสัตว์น้ำ ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก พืชนานาพันธุ์ และ อื่นๆอีกมากมาย รวม 3 หมื่นชีวิต 620 สายพันกันเลยทีเดียว บอกเลยว่าห้ามพลาดนะครับผม

ซึ่งด้านหน้าก็จะมีชิงช้าสวรรค์ให้นั่งชมวิวเมืองกันอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากใครมาอย่าลืมแวะกันมานะครับ ได้รับชมกันแบบเต็มอิ่มแน่นอน หลังจากที่เราชม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของโอซาก้า ไคยูคัง ก็เตรียมตัวกลับที่พักไปพักผ่อน เที่ยวต่อในวันต่อไป

ระหว่างทางการเดินทางกลับที่พัก

ก่อนนอนเราก็แวะทานอาหารเย็น สักมื้อ แบบเร่งด่วนกันหน่อย เจอร้านไหนเข้าร้านนั้นเลยก็ว่าได้ ฮ่าๆ

” เช้าวันที่ 4 ของการเที่ยว Osaka “

เช้าวันที่ 4 นี้ เราเดินทางไปที่ เล่นสกีหิมะ เราได้เช่ารถขับไป ด้วยความที่เรานั้นออกเดินทางเช้า และรีบเพราะตื่นสาย ฮ่าๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บข้อมูลรายละเอียดการเช่ารถมาฝาก ด้วยความที่อยากไปเจอหิมะ และอยากลองเล่นสกี เราเลยพากันไป Biwako Valley Ski Resort กันครับ

ระหว่างทาง . .

ถึงแล้ว ระยะทางการเดินทางค่อนข้างไกล เลยต้องใช้เวลาในการเดินทางซักหน่อย

พอถึงเราก็จะเห็นยอดเขาที่เราจะไปเล่นสกีกัน ค่อนข้างสูงมาก จึงต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน

สุดท้ายพอไปถึงเล่นไม่เป็น แย่งของเด็กเล่นแทนครับ ก็ถือว่าสนุกไม่เบาเหมือนกันนะ ฮ่าๆ ไหนๆก็มาแล้วของเล่นหน่อยและกัน

หลังจากที่เล่นเสร็จก็เดินทางกลับที่พัก เราก็หมดเวลาไป 1 วันเต็มๆกับการเล่นสกีในวันนี้

หลังจากถึงที่พัก แล้วเราก็ได้กลับไปนอนพักผ่อนกันจนเต็มอิ่ม และ ก็ฟรีเดย์ เที่ยวเล่นตามใจชอบ นอกแพลนกัน อีกวัน ก็เดินทางกลับไทยแล้วว

โดยในทริปนี้ ผมได้จองที่พัก 5 คืน 6 วัน วันที่เดินทางมาถึง จนเช้าวันกลับ ซึ่งในทริปนี้เราจะแพลนกันไว้หลวมๆหน่อย จะได้มีเวลาชื่นชม และ ไม่เหนื่อยมากกับการเที่ยวในทริปนี้ สำหรับใครที่อยากจะไปโอซาก้า ชอบความเป็นญี่ปุ่น ชอบประเทศญี่ปุ่น อาหาร และผู้คน รับประกันเลยว่าไม่ผิดหวังครับ

เจมส์ ตากล้องมือสมัครเล่นที่ชอบเที่ยวเล่นไปวันๆ ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ มีหมาหนึ่งตัวชื่อกูเกิ้ล